การฝึกอ่าน
การช่วยชีวิต ให้คนฟื้นคืนชีพ ในสถานการณ์ต่างๆ
ก. การช่วยเหลือผู้ป่วยจมน้ำ
การจมน้ำ โดยทั่วๆไป เกิดจาก การหายใจไม่ออก หรือ หายใจไม่เข้า เพราะหายใจเอาน้ำเข้าไปแทนที่instead การหายใจเอาน้ำเข้าไปในปอด อาจเกิดขึ้นจาก การเริ่มจมลงใต้ผิวน้ำ เมื่อไม่สามารถหายใจได้ จะทำให้คาร์บอนไดออกไซด์ ในเลือดคั่งbuild up, clotระดับหนึ่งจะไปกระตุ้นstimulate, exciteศูนย์หายใจ ทำให้สูดหายใจinhaleเอาน้ำเข้าไปอีก จากน้ำก็ตามด้วยการกลืนเอาน้ำเข้าไป ไอ อาเจียน สำลักchoke ไม่รู้สติ ชักconvulse และหายใจเฮือกสุดท้ายlast breathเอาน้ำเข้าไปเต็มปอด จนเสียชีวิต ภาวะดังกล่าวaforementionedจะเกิดขึ้นรวดเร็วภายใน 3 – 4 นาทีในน้ำจืด และประมาณ 7 – 8 นาทีในน้ำทะเล ถ้าเราสามารถช่วยผู้ป่วยก่อนถึงลมหายใจbreathเฮือกสุดท้ายภาวะต่างๆ อาจกลับฟื้นคืนมาได้ ซึ่งควรให้การปฐมพยาบาล ดังนี้as follows
1. เอาน้ำออกจากกระเพาะอาหารและปอด โดย
- ใช้นิ้วมือล้วงตอให้อาเจียน
- จับแบกพาดบ่าgrab+piggyback+lean against+area from neck to shoulder ให้บริเวณท้องอยู่บนบ่า ศีรษะห้อยhangลงไปด้านหลัง พาวิ่งจะช่วยเขย่าshakeให้น้ำออก
- ให้ผู้ป่วยนอนคว่ำ ผู้ช่วยเหลือยืนคร่อมstraddleผู้ป่วยตรงระดับlevelสะโพกhips หันหน้าไปทางศีรษะผู้ป่วยใช่มือทั้งสองจับบริเวณใต้ชายโครงcostal cartilage, bottommost part of the ribsทั้งสองข้างของผู้ป่วยยกขึ้นและวางลงสลับกัน จะทำให้น้ำออกทางปากและจมูก ซึ่งจะช่วยให้ผู้ป่วยเริ่มหายใจได้บ้าง
2. ลงมือทำstart to doการผายปอดartificial respiration เมื่อผู้ป่วยเริ่มหายใจ
3. ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย
4. เมื่อฟื้นหรือรู้สึกตัวให้จิบsipกาแฟดำหรือบรั่นดีเล็กน้อย เพื่อช่วยกระตุ้นหัวใจ
5. หมั่นkeep on doingเช็ดตัวผู้ป่วยให้แห้ง
6. ถ้ายังไม่ฟื้น อย่าให้ผู้ป่วยดื่มอะไรทั้งสิ้นat all, all และอย่าเลิกให้ความช่วยเหลือทำการผายปอดต่อไปเรื่อยๆ
7. รีบนำตัวส่งโรงพยาบาล
ข้อควรระวัง ภายหลังที่วินิจฉัยได้ว่าผู้ป่วยไม่รู้สติ เปิดทางเดินลมหายใจแล้วผู้ป่วยยังไม่หายใจ ถ้าไม่สามารถช่วยชีวิตโดยการเป่าลมเข้าปากได้ หรือเป่าไม่เข้า เริ่มปฏิบัติการดังนี้
1. จัดท่าศีรษะใหม่ให้ถูกต้อง พยายามเป่าลมเข้าปากอีกครั้ง
2. ถ้ายังเป่าลมไม่เข้า จับผู้ป่วยนอนตะแคงlie on one’s side ตบslapบริเวณหลัง4ครั้งติดต่อกัน
3. กดบริเวณหน้าท้องหรือหน้าอก4ครั้งติดต่อกัน
4. ยกคางchinดึงลิ้นขึ้น ใช้นิ้วมือล้วงเอาสิ่งแปลกปลอมออกจากปาก
5. เริ่มเป่าลมเข้าปากใหม่อีกครั้งหนึ่ง
ข. การช่วยเหลือผู้ถูกไฟฟ้าดูด
เมื่อพบผู้ถูกไฟฟ้าดูด ควรให้การช่วยเหลือ ดังนี้
1. รีบปิดสวิตซ์ไฟหรือกดปุ่มปิดเครื่องตัดวงจรอัตโนมัติเพื่อตัดวงจรไฟฟ้า และรีบนำผู้ป่วยออกจากกระแสไฟฟ้า โดยพยายามอย่าถูกตัวผู้ป่วยโดยตรงด้วยมือเปล่า ให้ใช้ไม้ยาวๆหรือวัตถุที่ไม่เป็นสื่อbe a conductor เช่น ผ้าขาวม้าbathing loinclothคล้องput a loop aroundดึงผู้ป่วยออกจากสายไฟฟ้านั้น ผู้ป่วยขณะนั้นอาจจะไม่รู้สติ และอาจจะถูกกระทบกระเทือนโดยได้รับบาดเจ็บ เช่น กระดูกหักได้ ดังนั้นจึงต้องทำด้วยความระมัดระวัง
2. หากอยู่ไกลสวิตซ์ หรือมองไม่เห็นหรือไม่สามารถปิดสวิตซ์ไฟได้ผู้ช่วยเหลือควรอยู่บนไม้ที่แห้งหรือวัตถุที่ไม่เป็นสื่อไฟฟ้าหรือใส่รองเท้ายาง แยกสายไฟและผู้ป่วยออกจากกันอาจจะใช้ไม้ พลาสติก สายยาง กระบอกพีวีซี เชือกไนล่อน หรือผ้า ห้ามใช้โลหะเด็ดขาด
3. อย่าเอาส่วนของร่างกายไปสัมผัสหรือเอามือดึงผู้ที่ถูกไฟดูด เว้นแต่จะสวมถุงมือยางที่แห้ง เพราะอาจถูกไฟฟ้าดูดด้วย
4. เมื่อช่วยผู้ป่วยพ้นจากสภาพไฟดูดแล้ว ตรวจดูชีพจรและการหายใจ และรีบช่วยเหลือโดยการผายปอดและนวดหัวใจ และรีบนำส่งโรงพยาบาล
ค. การช่วยเหลือผู้ป่วยสำลักควันไฟ
การที่ผู้ป่วยสำลักควันไฟแสดงว่าผู้ป่วยหายใจเอาก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ก๊าซนี้จะรวมตัวกับฮีโมโกลบินของเม็ดเลือดแดงได้อย่างดีกว่าออกซิเจน เลือดจะไม่มีออกซิเจนไปสู่เนื้อเยื่อซึ่งจะทำให้หายใจลำบาก ไอ หน้าเขียว เล็บมือเท้าเขียวคล้ำ อาจจะไม่รู้สึกตัวและไม่หายใจ จึงควรให้การปฐมพยาบาล ดังนี้
1. ย้ายผู้ป่วยไว้ในที่อากาศบริสุทธิ์ มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก คลายเสื้อผ้าให้หลวม ปลดเข็มขัด เสื้อชั้นใน
2. ถ้าผู้ป่ายหายใจไม่สะดวกให้ช่วยผายปอด
3. ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายให้เพียงพอ
4. คอยระวังอาการเปลี่ยนแปลงทางด้านการหายใจ และชีพจร
5. ถ้าอาการไม่ดีขึ้น รีบส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด
ง. การช่วยเหลือผู้ป่วยหัวใจวาย
หัวใจวายheart attack เป็นภาวะที่หัวใจไม่สามารถจะฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้ตามที่ร่างกายต้องการ สาเหตุอาจจะมาจากความผิดปกติของหัวใจแต่กำเนิด หรือจากสาเหตุอื่นๆเช่น ผนังหลอดเลือดแดงโคโรนารีแข็ง กล้ามเนื้อหัวใจตาย ซึ่งทำให้หัวใจทำงานไม่ปกติหรือทำงานหนักมากเกินไป ปัจจุบันผู้ป่วยที่เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวายในประเทศไทยได้เพิ่มสูงขึ้น ผู้ป่วยหัวใจวายมรอาการหน้ามืด เป็นลมสลบไป ซึ่งการหยุดเต้นของหัวใจจะเกิดขึ้นอย่างกะทันหัน และการที่หัวใจหยุดเต้นอาจจะทำให้กลับคืนสู่สภาพแกติได้ถ้ารักษาทันท่วงที เพราะเซลล์ในร่างกายทนการเปลี่ยนแปลงได้ไม่นาน จึงควรให้การปฐมพยาบาล ดังนี้
1. ให้ผู้ป่วยนอนในที่อากาศถ่ายเทสะดวก
2. คลายเสื้อผ้าให้หลวม
3. สังเกตอาการผู้ป่วย
4. ทำการช่วยการหายใจและนวดหัวใจ
5. รีบนำส่งโรงพยาบาล
จ. การช่วยเหลือผู้ป่วยที่มีสิ่งแปลกปลอมในทางเดินหายใจ
สิ่งแปลกปลอมที่เข้าไปในทางเดินหายใจ (จมูก กล่องเสียง หรือหลอดลม) มักจะเป็นของลื่นๆเช่น เมล็ดผลไม้ แมลง กระดุม เหรียญ เศษอาหาร เป็นต้น
ถ้าสิ่งแปลกปลอมติดลึกในหลอดลม และกล่องเสียงผู้ป่วยจะมีอาการหายใจขัด ตัวเขียว และเสียชีวิตได้ จึงควรให้การปฐมพยาบาลดังนี้
1. กรณีที่มีของติดจมูก ให้ปิดรูจมูกข่างหนึ่งแล้วสั่งน้ำมูกอย่างแรง ของที่ติดอาจจะออกเองได้ อย่าพยายามใช้นิ้วหรือของอื่นแคะออกเอง ซึ่งจะทำให้สิ่งนั้นถูกดันลึกเข้าไป หากยังไม่ออกให้ส่งแพทย์เพื่อใช้เครื่องมือคีบออก
2.กรณีของแปลกปลอมติดลึกในหลอดลมหรือกล่อมเสียงถ้าเป็นเด็กๆให้จับเท้าทั้งสองข้าง ห้อยศีรษะลงแล้วตบกลางหลังแรงพอสมควร เพื่อให้ไอออกมา
ถ้าเป็นเด็กโตหรือผู้ใหญ่ให้ยืนก้มตัวมากๆเพื่อให้หัวห้อยลง ผู้ปฐมพยาบาลเข้าข้างหลัง ใช้แขนข้างหนึ่งสอดรั้งตัวผู้ป่วยไว้ ใช้มืออีกข้างหนึ่งตบกลางหลังแรงๆผู้ป่วยอาจไอและทำให้สิ่งแปลกปลอมหลุดออกมาได้หรืออาจให้นอนคว่ำหรือตะแคงศีรษะต่ำ ผู้ปฐมพยาบาลตบหลังผู้ป่วยระหว่างไหล่ 2 ข้าง ให้แรงพอสมควร ถ้ายังติดอยู่ให้รีบส่งแพทย์
3. ถ้าหายใจขัด ให้ผายปอด